เถาวัลย์เปรียงเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของประเทศไทย พบได้ทุกภาคของประเทศไทย พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นเองตามชายป่าและที่โล่งทั่วไป เป็นพรรณไม้ที่มีมากที่สุดในประเทศไทยและใช้กันทุกจังหวัด
ประโยชน์และสรรพคุณเถาวัลย์เปรียง
แก้เส้นเอ็นพิการ
แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดเอว
ขับปัสสาวะ
แก้บิด
แก้หวัดแก้เมื่อยขบในร่างกาย
แก้กระษัยเหน็บชา
แก้เส้นเอ็นขอด
ถ่ายเสมหะ
แก้ปวด แก้ไข้
แก้ปัสสาวะพิการ
ช่วยทำให้มีกำลังดีแข็งแรงสู้ไม่ถอย
บรรเทาโรคต่อมลูกหมากโต
รักษาอาการตกขาวของสตรี
ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น
รักษาโรคอัมพฤกษ์และกระดูกหัก
เถาใช้ดองกับเหล้าเป็นยาขับระดูของสตรี
ใช้เป็นส่วนประกอบของยาอายุวัฒนะ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้เถาวัลย์เปรียง
บัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชียาจากสมุนไพร 2556 ยาพัฒนาจากสมุนไพร กลุ่มยารักษากลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ระบุรูปแบบและขนาดวิธีใช้ยาดังนี้
- ขับโลหิตเสียของสตรี ด้วยการใช้เถาวัลย์เปรียงทั้งห้าแบบสด ๆ นำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้ดื่มต่างน้ำ (ทั้งห้า)
- ทำให้มดลูกเข้าอู่ ด้วยการใช้เถาสดนำมาทุบให้ยุ่ย แล้ววางทาบลงบนหน้าท้อง แล้วนำหม้อเกลือที่ร้อนมานาบลงไปบนเถาวัลย์เปรียง จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น
- ใช้เถานำมาหั่นตากแห้งคั่วชงน้ำกินต่างน้ำชาเป็นยาทำให้เส้นหย่อน แก้อาการเมื่อยขบตามร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อย แก้เหน็บชา (เถา)
- ใช้เถาเพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์และกระดูกหัก โดยการนำเถามาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหัวครำ แล้วใช้เป็นยาทานวดบริเวณที่เป็นทุกวันจนหาย (เถา)
ยาเถาวัลย์เปรียง ยาแคปซูล (รพ.)
ข้อบ่งใช้ : บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
ขนาดและวิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทันที
ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
ยาสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียง ยาแคปซูล
ข้อบ่งใช้ : บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) และอาการปวดจากข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis)
ขนาดและวิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทันที
ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์
ยาเถาวัลย์เปรียง(แคปซูล) 400 mg (บัญชีร่วม รพสต.)
ข้อบ่งใช้ : แก้ข้ออักเสบ ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็ง OA
ขนาดและวิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 2*3PC (500Mg.– 1g.) วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารทันที
ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
ลักษณะทั่วไปเถาวัลย์เปรียง
เถาวัลย์เปรียงเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ เถามักจะบิดเนื้อไม้สีมีวงเข้ม ซึ่งมี 2 ชนิด คือชนิดแดง (เนื้อสีแดงวงสีแดงเข้ม) และชนิดขาว (เนื้อออกสีนํ้าตาลอ่อนๆ วงสีนํ้าตาลไหม้)
• ต้นเถาวัลย์เปรียง จัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 20 เมตร มีกิ่งเหนียวและทนทาน กิ่งแตกเถายืดยาวอย่างรวดเร็ว เถามักเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่ เถาแก่มีเนื้อไม้แข็ง เปลือกเถาเรียบและเหนียว เป็นสีน้ำตาลเข้มอมสีดำหรือแดง เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้เป็นสีออกน้ำตาลอ่อน ๆ มีวงเป็นสีน้ำตาลไหม้ คล้ายกับเถาต้นแดงและเถาเอ็นอ่อน (เนื้อไม้มีรสเฝื่อนและเอียน) ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม
• ใบเถาวัลย์เปรียง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 4-8 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบย่อยมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร หลังใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบ
• ดอกเถาวัลย์เปรียง ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ช่อดอกเป็นสีขาวห้อยลง ดอกเป็นสีขาวอมสีม่วงอ่อนคล้ายกับดอกถั่ว กลีบดอกมี 4 กลีบ และมีขนาดไม่เท่ากัน สวนกลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย สีม่วงแดง
• ผลเถาวัลย์เปรียง ออกผลเป็นฝักแบน โคนฝักและปลายฝักมน ฝักเมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ด
การขยายพันธุ์เถาวัลย์เปรียง
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ชอบดินเหนียวไม่ชอบดินทราย ชอบสภาพชื้นแต่ไม่แฉะ
การปลูกและการดูแลรักษา
• ใช้เมล็ดแก่ที่มีสีนํ้าตาล (เมล็ดแก่ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) แกะเปลือกนอกของเมล็ดออก นำ ไปเพาะในถุงชำ ถุงละ 2-3 เมล็ด รดนํ้าให้ชุ่ม
• เมื่อตัดต้นสูงประมาณ 1 คืบ นำ ลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ถ้าหากไม่เพาะลงถุงจะปลูกตรงจุดที่ต้องการเลยก็ได้ พร้อมทำ ซุ้มบริเวณที่ปลูก เถาวัลย์เปรียงได้เลื้อยเกาะด้วย
การเก็บเกี่ยวเถาวัลย์เปรียง
• เริ่มเก็บเกี่ยวได้ เมื่ออายุ 3-5 ปี
• เลือกเถาแก่ซึ่งจะมีสีเทา และมีจุดคล้ายเกล็ดสีขาวๆ เถามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ขึ้นไป
• ตัดให้เหลือเถาไว้ 1-2 ศอก เพื่อให้แตกขึ้นใหม่ ตัดได้ประมาณ 2 ปีต่อครั้ง
• นำ เถามาสับเป็นแว่นๆ หนาประมาณ 1 เซนติเมตร ตากแดด 3-5 วัน หรืออบให้แห้ง
สารสกัดน้ำจากเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (ยับยั้งการสร้าง leukotriene B, ลดการหลั่ง myeloperoxide, ลดการสร้าง eicosanoid), ลดการอักเสบที่อุ้งเท้าหนู, สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ,สารสกัดบิวทานอล และสารประกอบประเภท rhamnosyl-(1,6)-glucosylisoflavone มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต, สารสกัดด้วย 50% เอทานอล มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์, ฤทธิ์ต้านเชื้อรา
การศึกษาทางคลินิกเถาวัลย์เปรียง
บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง การเปรียบเทียบสรรพคุณของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงกับยาไดโคลฟีแนค ในการเป็นยาบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง พบว่าเมื่อให้ผู้ป่วย รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงบรรจุแคปซูลขนาด 200 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไดโคลฟีแนคขนาด 25 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ผลพบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงสามารถลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ไม่แตกต่างจากการใช้ยาไดโคลฟีแนค
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย การศึกษาประสิทธิผลของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี เมื่อได้รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงทีสกัดด้วย 50% เอทานอล ขนาดวันละ 400 มก. นาน 2 เดือน ไม่พบความผิดปกติของระบบต่างๆของร่างกาย และพบว่าสารสกัดเพิ่มการหลั่งของ IL-2 และ gamma–IFN แสดงว่าสารสกัดมีฤทธิ์เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
การศึกษาประสิทธิผล และความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการรักษาอาการอักเสบจากข้อเข่าเสื่อมนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมการวิจัยทางคลินิกกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเข้าร่วมโครงการจำนวน 125 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันนาโพรเซน (Naproxen) ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 400 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ยาแผนปัจจุบันนาโพรเซนและสารสกัดเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลและความปลอดภัยไม่แตกต่างกัน และผู้ป่วยที่ได้รับยาทั้ง 2 กลุ่มมีความพึงพอใจต่อการรักษาร้อยละ 80
การศึกษาความปลอดภัยของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสถาบันวิจัยสมุนไพรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาความปลอดภัยของสสารสกัดเอทานอล 50 % ของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 12 ราย โดยให้รับประทานแคปซูลสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 200 มิลลิกรัม/แคปซูล ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และเจาะเลือดทุก 2 สัปดาห์ พบว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ระหว่างรับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง และเมื่อเทียบกับก่อนได้รับสารสกัด ค่าทางโลหิตวิทยาบางค่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น ค่าร้อยละของเม็ดเลือดขาวชนิด basophil เพิ่มขึ้น ค่า hemoglobin และค่าร้อยละของ hematocrit ลดลงในบางสัปดาห์
การศึกษาทางพิษวิทยาเถาวัลย์เปรียง
สำหรับด้านความเป็นพิษของสารสสกัดเถาวัลย์เปรียงนั้นจากการศึกษาสารสกัดเอธานอล 50% โดยป้องให้หนูขาวในขนาดสูงถึงวันละ 600 มิลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับ 75 – 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน ไม่พบอาการแสดงความเป็นพิษต่ออวัยวะและการทำงานผิดปกติของระบบต่างๆ ของหนูขาวเลย
การทดสอบพิษเฉียบพลัน ของสารสกัดลำต้นด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 6,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
มีรายงานการศึกษาพิษเรื้อรัง ( 6 เดือน ) ของสารสกัด 50 % เอทานอลของเถาวัลย์เปรียงในหนูขาว 4 กลุ่มๆ ละ 20 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำ 10 มิลลิลิตร / กิโลกรัม / วัน กลุ่มทดลองได้รับสารสกัดขนาด 6 , 60 และ 600 มิลลิกรัม / กิโลกรัม / วัน หรือ เทียบเท่าผงเถาวัลย์เปรียง 0.03 , 0.3 และ 3 กรัม / กิโลกรัม / วัน หรือ 1 , 10 และ 100 เท่าของขนาดใช้ในคนต่อวัน พบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยา ชีวเคมีของเซรั่ม หรือจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน ที่มีความสัมพันธ์กับขนาดของสารสกัด และไม่พบความผิดปกติใดๆ
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- เถามีสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศหญิง จึงควรระวังถ้าจะรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์
- ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคแผลเปื่อยเปปติก เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวดกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-lnflammatory Drugs, NSAIDs)
- อาการไม่พึงประสงค์ ปวดท้อง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง ใจสั่น
- อาการไม่พึงประสงค์ของการใช้สารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงที่สกัดด้วย 50 % เอทิลแอลกอฮอล์ คือ มีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ และอุจจาระเหลว